วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องขอบเขตงานวิศวกรรมควบคุม



นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์ 

สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)


กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


พักหลังมักมีนักศึกษามาถามและขอความรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมควบคุมว่ามีกี่ระดับและแต่ละระดับแตกต่างกันอย่างไร ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างเฉพาะในสาขาเครื่องกลเพียงอย่างเดียว เพราะโดยหลักการแล้วใกล้เคียงกันในแต่ละสาขา..

สำหรับเนื้องานควบคุมด้านเครื่องกลนั้นแบ่งออกได้ทั้งหมด 6 หมวดหลักๆประกอบด้วย
1.1 งานที่ปรึกษา
1.2 งานวางโครงการ
1.3 งานออกแบบคำนวณ
1.4 งานควบคุมการสร้างและการผลิต
1.5 งานอำนวยการใช้
1.6 งานพิจารณาตรวจสอบ

ทีนี้มาต่อกันทึ่ระดับของวิศวกรควบคุม แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ

2.1 วุฒิวิศวกร (เก๋าแล้ว กระดูกมวยแข็งปั้ก)

2.2 สามัญวิศวกร (ทำงานมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีจนกระทั่งมีประสบการณ์ในงานที่ตนเชี่ยวชาญ)

2.3 ภาคีวิศวกร (เด็กจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ต้องทำงานภายใต้การควบคุมของสามัญหรือวุฒิวิศกรเท่านั้น !!)

ในส่วนขอบเขตงานของวิศวกรควบคุมในแต่ละระดับนั้น สามารถทำได้แตกต่างกันไปดังนี้

3.1 ระดับวุฒิ สามารถทำงานในหัวข้อ 1.1-1.6 ได้ทั้งหมดและไม่มีขอบเขตใดๆบังคับ หรือพูดง่ายๆระดับนี้ทำงานได้ครอบจักรวาล

3.2 ระดับสามัญ ทำได้เฉพาะ 1.2-1.6 จำกัดขอบเขตบ้างนิดหน่อยในส่วน 1.2-1.6 แต่แทบจะเรียกว่า ทำได้ทั้งหมด (กั๊กไว้เพียงเล็กน้อย)

3.3 ระดับภาคี ทำได้นิดหน่อยเฉพาะ 1.2-1.6 แต่แทบจะถูกบีบเสมือนว่าทำอะไรไม่ได้เลย ที่สำคัญต้องทำงานภายใต้การควบคุมของวิศวกรระดับสามัญขึ้นไปเท่านั่น

จะว่าไปขอบเขตงานทั้งสามระดับนั้นหากเปรียบเทียบกับการกินอาหาร ก็เหมือนกับว่า หากเป็นเด็กทารกก็กินอาหารเหลวย่อยง่ายไปก่อน (ภาคี) พอโตมาหน่อยจนกระทั่งเดินเหินเองได้ก็ค่อยหัดกินข้าวหรืออาหารหยาบที่ย่อยยากเองได้ (สามัญ) จนสุดท้ายเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นร่างกายแข็งแรงก็ค่อยหัดกินอาหารหวานคาว เผ็ดร้อน ต่อไป (วุฒิ)

เฟืองไทยกรุ๊ป

นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์ 

สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)


กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


ผมได้จัดตั้งกลุ่ม "เฟืองไทยกรุ๊ป" (เป็นกลุ่มใน facebook) ขึ้นโดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่ม ประกอบด้วย

1. เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การทำงานทั้งในแง่วิชาการ และเชิงปฏิบัติการณ์ของวิศวกรควบคุมในทุกสาขา

2. เพื่อธำรงและรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย ตลอดจนถึงจรรยาบรรณวิชาชีพของวิศวกร

"แม้ว่าเฟืองตัวต้นกำลังเราจะผลิตมันขึ้นมาจากเหล็กคุณภาพพิเศษ แต่หากมันไม่สามารถส่งกำลังไปยังเฟืองตัวอื่นๆได้ มันก็แค่เศษเหล็กไร้ค่า ไม่มีราคา.."

ร่วมด้วยช่วยกันขับเคลื่อนเฟืองไทยกันนะครับ..

ทิศทางวิศวกรรมไทย



นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์ 

สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)


กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


หลังเปิดประตูสู่อาเซียน AEC ทิศทางสาขาวิศวกรรมที่ตอบโจทย์เงื่อนไขดังว่าคงไม่แคล้ว 2 สาขาหลัก "โลจิสติกส์กับโยธา" งานคงมากมาย


สำหรับงานด้านวิศวกรรมโยธาในภูมิภาคอาเซียนประเทศไทยแข็งแกร่งมาก สามารถดำเนินการและจัดการโครงการมหากาพย์ใหญ่ๆได้สบายๆ ส่วนโลจิสติกส์ดูท่าคงต้องปรับตัวพอสมควร..


เพราะมันคงพูดได้ไม่เต็มปากนักเนื่องจากระบบขนส่งของในไฮเทคสุด ณ ตอนนี้คงมีเพียงแค่รถไฟหวานเย็นที่ยังคงวิ่งตกรางอยู่เป็นประจำตามที่เห็น นี่ถ้าหากว่าวางแผนกันดีๆเราคุมภูมิภาคนี้แบบสบายๆ 


ส่วนสาขาเครื่องกลไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ สาขานี้ไม่เคยหวือหวาตามกระแสอยู่แล้ว มีงานทำแต่ส่วนใหญ่มักเป็นระบบรองจากภาคฯโยธาซะส่วนมาก

Electromechanical Engineering (EM)


นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์ 

สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)


กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

เป็นสหวิชาว่าด้วยวิศวกรรมไฟฟ้า+เครื่องกล คล้ายๆกับ Mechathonic ของประเทศไทย.. แต่เป็นหลักสูตรที่ทาง สปป.ลาว เน้นให้เป็นวิศวกรเชิงปฏิบัติการณ์ด้านเครื่องกลและไฟฟ้าที่สามารถแก้ไข ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์.. (ยุโรปก็เปิดสอนนะ โดยเฉพาะฝรั่งเศส)

หลักสูตรเปิดสอนขึ้นมาโดยตรง เพื่อรองรับงานด้าน Power Plant โดยเฉพาะ Hydro Plant (หมายถึงการปั่นไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ) สาขานี้ผมแนะนำว่า เป็นสาขาที่น่าสนใจทั้งในเชิงวิชาการและเชิงวิศวกรรม..

โดยเฉพาะใน สปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้านเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องการผลิตให้ได้จำนวนทั้งสิ้น ประมาณ 28,000 MW แต่ ณ ปัจจุบันพึ่งทำให้แค่ประมาณ 7,000 W เท่านั้น..

ผมว่าเป็นขุมทรัพย์ที่น้องๆท่านใดหากรักในวิชาชีพวิศวกรรม ลองนำข้อมูลนี้ไปไตร่ตรองดูได้ครับผม อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 ปีแน่นอน กว่าทาง สปป.ลาว จะผลิตได้ตามเป้าหมาย..

ข้อมูลนี้ได้มาจากรุ่นพี่วุฒิวิศวกรที่ทำงานที่เขื่อนน้ำเทินแกให้ข้อมูลผม มาโดยตรง.. เด็กจบใหม่ขั้นต่ำได้แน่ๆ 3,000 US ส่วนพวกเก๋าๆ 5,000 US up.

ปล. เขื่อนน้ำเทินได้รับการยกย่องว่าเป็นเขื่อนปั่นไฟฟ้าที่เจ๋งมาก ใครทำงานด้านนี้ควรเข้าไปเยี่ยมชมระบบ

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การกะแบบวิศวกร

นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์
สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)

กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

บทความนี้ผมเขียนแบบให้อ่านสบายๆ ไม่มีวิชาการจนเกินงามครับ.. การกะในที่นี้ของผม หมายถึง การคาดเดาเเบบสุ่มๆ ซึ่งในบางครั้งมันออกมาจากสามัญสำนึก และส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ที่ทำการ "กะ" ในเรื่องนั้นๆ มีประสบการณ์เเละความเชี่ยวชาญมากพอ เนื่องจากทำงานเรื่องดังกล่าวนี้อยู่เป็นประจำซ้ำๆซากๆ

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ คุณเคยเห็นคนขายก๋วยเตี่ยวมั้ยครับ ? เราสั่งก๋วยเตี่ยวหมูต้มยำ หลังจากรับออเดอร์เสร็จ พ่อครัว/เเม้ครัวก็ดำเนินการจัดทำตามสั่ง ลวกเส้นใส่ถั่วงอก หลังจากนั้นก็เริ่มปรุงรส ใช้ช้อนตักทั้งพริก ถั่วคั่ว น้ำตาล น้ำส้ม สายชู และน้ำปลา การปรุงรสทุกอย่างผมไม่เคยเห็นพ่อครัว/เเม่ครัว คนไหน ต้องมานั่งตักพริก 1 ช้อนชานะ น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะนะ น้ำปลา 2 ช้อนชา บราๆๆ

เห็นมั้ยครับว่าถ้าเรามีประสบการณ์มากพอ "เราจะสามารถกะได้อย่างเเม่นยำ"

สุดท้ายเเล้วงานวิศวกรรมมันจะ "ดีหรือไม่ดี" "เจ๋งหรือไม่เจ๋ง" ก็อยู่ที่ว่าวิศวกรคนไหนจะ "กะ" ได้อย่างเเม่นยำและใกล้เคียงมากกว่ากัน เพราะหากกะไว้มากจนเกินเหตุ นั่นก็หมายถึงการ "Over Design" ซึ่งมันจะสะท้อนออกมาเป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายทาง "ต้นทุน" ที่สูงมากเกินจำเป็น 

ในทำนองเดียวกันหากกะไว้น้อยจนเกินงาม ต้นทุนอาจจะต่ำกว่าชาวบ้าน เเต่ในด้าน "ความปลอดภัย" มันก็ลดลงเป็นเงาตามตัวเหมือนกัน..

เพราะฉะนั้นผมทิ้งท้ายเอาไว้ว่า "เราควรใช้วิชาการความรู้ในศาสตร์นั้นๆที่ได้ร่ำเรียนมา ทำการคำนวณออกแบบตามหลักวิชาการ โอกาสที่เราจะกะผิดพลาดมีน้อยมากๆครับ" เเล้วคุณจะพบว่างานวิศวกรรม คือ "การมั่วเเบบมีหลักการนั่นเอง" ???

สนุกสนานกับการมั่วเเบบมีหลักการนะครับเพื่อนร่วมวิชาชีพทุกท่าน..

สวัสดี

ชุดขับสกรูลำเลียงวัสดุปริมาณมวล

นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์
สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)

กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


1. ชุดขับสกรูลำเลียง ( Screw Conveyor Drives )

ชุดขับสกรูลำเลียงมีหน้าที่ขับเคลื่อนทำให้สกรูลำเลียงหมุนเคลื่อนที่ตามความเร็วที่ต้องการและแรงม้า ในการขับเคลื่อนต้องเหมาะสม ชุดขับนั้นจะแบ่งอุปกรณ์การทำงานออกเป็น 3 ส่วน คือ อุปกรณ์ต้นกำลัง (Power source) ในสกรูลำเลียงส่วนมากจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า, อุปกรณ์ทดความเร็ว (Power Transmission) เป็นอุปกรณ์ลดความเร็วมอเตอร์เพื่อปรับรอบความเร็วให้เหมาะสมกับการทำงาน, ส่วนต่อไปยังเพลาขับของ อุปกรณ์ลำเลียง (Conveyor Drive Shaft) เป็นส่วนที่รับกำลังจากอุปกรณ์ลดความเร็วเพื่อนำไปขับอุปกรณ์ ลำเลียงต่างๆ ในการออกแบบเลือกการติดตั้งชุดขับเข้ากับสกรูลำเลียงนั้นจะต้องศึกษารูปแบบการติดตั้ง ชุดขับและลักษณะของการใช้งานของอุปกรณ์ในการขับให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน


1.1 พื้นฐานการติดตั้งชุดขับอุปกรณ์ลำเลียง ( Basic Conveyor Drives )


1.1.1 ขับแบบไม่มีอุปกรณ์ลดความเร็ว

1.1.1.1 มอเตอร์สวมต่อตรงกับเพลาขับต่อโดยใช้คลัปปิ้งสวมต่อ

1.1.2 ขับแบบมีการลดความเร็วหนึ่งชั้น

1.1.2.1 มอเตอร์ขับด้วยสายพานรูปตัว V ลดความเร็วด้วยล้อสายพาน

1.1.2.2 มอเตอร์ขับด้วยโซ่ลดความเร็วด้วย Sprockets

1.1.2.3 มอเตอร์เกียร์ปรับกำลังขับ

1.1.2.4 มอเตอร์ต่อผ่านคัปปลิ้งเข้าอุปกรณ์ลดความเร็วและต่อเข้าเพลาขับโดย ผ่านคัปปลิ้ง

1.1.2.5 ชุดเกียร์มอเตอร์ลดความเร็วต่อเข้าเพลาขับโดยผ่านคัปปลิ้ง

1.1.3 ขับแบบมีการลดความเร็วสองชั้น

1.1.3.1 มอเตอร์ติดอุปกรณ์ลดความเร็วโดยใช้สายพานรูปตัว V

1.1.3.2 มอเตอร์ติดอุปกรณ์ลดความเร็วโดยใช้โซ่ขับ

1.1.3.3 มอเตอร์ติดอุปกรณ์ลดความเร็วโดยใช้ ชุดเฟืองทด จะถูกติดตั้งระหว่าง

1.1.3.4 มอเตอร์กับอุปกรณ์ลดความเร็วหรือระหว่างอุปกรณ์ลดความเร็วกับเพลาขับ

1.1.3.5 ชุดเกียร์มอเตอร์ลดความเร็วขับต่อโดยใช้สายพานรูปตัว V

1.1.3.6 ชุดเกียร์มอเตอร์ลดความเร็วขับต่อโดยใช้โซ่

1.1.3.7 ชุดเกียร์มอเตอร์ลดความเร็วขับต่อโดยใช้ชุดเฟืองทดชุดเฟืองจะถูกติด

1.1.3.8 ตั้งอยู่ระหว่างเพลาของเกียร์มอเตอร์กับเพลาขับ

1.1.3.9 ลดความเร็ว 2 ชั้นด้วยการใช้สายพานรูปตัว V สองครั้ง

1.1.3.10 ลดความเร็ว 2 ชั้นด้วยการใช้โซ่ส่งกำลังสองครั้ง

1.1.3.11 ลดความเร็ว 2 ชั้นด้วยการใช้ชุดเฟืองสองครั้ง

1.1.4 แบบลดความเร็วสามชั้น

1.1.4.1 ชุดขับผ่านการลดความเร็วมอเตอร์แบบ 2 ชั้นมาลดความเร็วด้วยสายพาน รูปตัว V

1.1.4.2 ชุดขับผ่านการลดความเร็วมอเตอร์แบบ 2 ชั้นมาลดความเร็วด้วยโซ่

1.1.4.3 ชุดขับผ่านการลดความเร็วมอเตอร์แบบ 2ชั้นมาลดความเร็วด้วยชุดเฟืองทด


1.2 รูปแบบการติดตั้งชุดขับในสกรูลำเลียง (Screw Conveyors Drive Arrangements)

1.2.1 การติดตั้งชุดขับแบบ ( Screw Conveyors Drive ) เป็นการติดตั้งชุดขับแบบง่ายที่ใช้กัน ทั่วไป การติดตั้งชุดขับแบบนี้จะประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าขับอุปกรณ์ลดความเร็วด้วยสายพานรูปตัว V เพลาขับสกรูลำเลียงจะสวมเข้ากับอุปกรณ์ลดความเร็วโดยตรง อุปกรณ์ลดความเร็วแบบนี้สร้างมาเพื่อใช้กับ สกรูลำเลียงจึงมีส่วนอุปกรณ์ยึดเข้ากับรางและมีฐานรองรับมอเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบน การลดความเร็วเป็น แบบ 1 ชั้น หรือ 2 ชั้นก็ได้



รูปที่ 1 : การติดตั้งชุดขับแบบ Screw Conveyors Drive


1.2.2 การติดตั้งชุดขับแบบ Shaft Mounted Reducer with V-Belt Drive การติดตังชุดขับแบบ นี้จะประกอบด้วย เพลาขับของสกรูสวมติดเข้ากับอุปกรณ์ลดความเร็วใช้สายพานรูปตัว V ลดความเร็ว มอเตอร์ก่อนเข้าอุปกรณ์ลดความเร็ว มุมในการติดตั้งมอเตอร์สามารถเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่และเมื่อต้องการ ปรับเปลี่ยนความเร็วสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนขนาดของล้อสายพาน (Sheaves)


รูปที่ 2 : การติดตั้งชุดขับแบบ Shaft Mounted Reducer with V-Belt Drive


1.2.3 การติดตั้งชุดขับแบบ Gear motor Coupling Drive Shaft การติดตั้งชุดขับแบบนี้จะ ประกอบไปด้วย การนำชุดเกียร์มอเตอร์หรือมอเตอร์ที่ติดมาพร้อมกับอุปกรณ์ลดความเร็วมาต่อเข้ากับเพลา ขับตรงๆ โดยใช้คัปปลิ้งแบบยืดหยุ่นได้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเพลาทั้งสอง การลดความเร็วเป็นแบบชั้นเดียว โดยลดความเร็วจากชุดเกียร์มอเตอร์


รูปที่ 3 : การติดตั้งชุดขับแบบ Gear motor Coupling Drive Shaft


1.2.4 การติดตั้งชุดขับแบบ Gear motor and Chain Drive การติดตั้งชุดขับแบบนี้จะประกอบ ไปด้วย ชุดเกียร์มอเตอร์ต่อกับชุดโซ่ขับเพลาขับสกรูจะติดตั้งเข้ากับ Sprockets ของชุดโซ่ขับ มีความยืดหยุ่น ในการติดตั้ง ชุดขับแบบจะลดความเร็วเป็นแบบ 2 ชั้น สามารถปรับเปลี่ยนความเร็วจากการเพิ่มจำนวนฟัน ของ Sprockets


รูปที่ 4 : การติดตั้งชุดขับแบบ Gear motor and Chain Drive


1.3 การลดความเร็วของอุปกรณ์ลดความเร็ว (Speed Reduction Equipment)

ตามหัวเพลาขับของอุปกรณ์ลำเลียงโดยทั่วไปจะหมุนด้วยความเร็วต่ำซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับอุปกรณ์ต้น กำลังและต้องสัมพันธ์กันกำลังขับที่ต้องการ บ่อยครั้งในการลดความเร็ว แรงบิดจะเพิ่มขึ้นตามต้องการใน ขณะนั้นแรงม้าในการขับกลับลดลง ชนิดของอุปกรณ์ลดความเร็วที่ทำให้เกิดผลต่อเครื่องลำเลียงที่ต่อเข้ากับ อุปกรณ์ลดความเร็วแบบ โซ่ขับ แบบสายพานรูปตัว V แบบเฟืองทดหรือการประกอบรวมกันของอุปกรณ์ เหล่านี้การยืดหยุ่นในการติดตั้งเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการขับแบบสายพานรูปตัว V และขับด้วยโซ่ อันดับแรกต้องพิจารณาพื้นที่ในการติดตั้ง มอเตอร์ และอุปกรณ์ลดความเร็ว เข้ากับเพลาขับสกรูที่มี พื้นที่จำกัด อันดับต่อไปพิจารณาพื้นที่ในการเปลี่ยนขนาดล้อสายพาน และ Sprocket เพื่อปรับเปลี่ยน


ในบางทีการลดความเร็ว 1 ชั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนมากครั้งอัตราทดที่ได้จะมา จากการต่ออุปกรณ์ลดความเร็วหลายอย่าง เพื่อที่จะให้อุปกรณ์ลำเลียงสามารถลดความเร็วอย่างต้องการควร พิจารณาพื้นที่เหลือไว้สำหรับชิ้นส่วนต่างของอุปกรณ์


1.3.1 การลดคามเร็วแบบอุปกรณ์ลดความเร็วแบบสายพานรูปตัว V กับล้อสายพาน (V-Belt Drive) อุปกรณ์ลดความเร็วแบบนี้จะประกอบด้วยสายพานกับล้อสายพาน ซึ่งล้อสายพานจะสวมอยู่ กับที่เพลาและเพลาของมอเตอร์ การลดความมอเตอร์จะขึ้นอยู่กับการปรับขนาดล้อขับกับล้อตาม


1.3.2 การลดความเร็วแบบอุปกรณ์ลดความเร็วแบบโซ่ขับกับSprocket ( Chain Drive ) อุปกรณ์ลดความเร็วแบบนี้จะประกอบไปด้วยโซ่กับSprocketทีติดตั้งอยู่ทั้งเพลาขับและเพลาตาม การลด ความเร็วของมอเตอร์จะทำได้โดยการเพิ่มจำนวนฟันเฟืองของSprocketตามอัตราทดของอุปกรณ์แบบนี้หาได้ ตามสมการ



1.3.3 อุปกรณ์ลดความเร็วแบบชุดสำเร็จ (Speed Reducer) ชุดอุปกรณ์ลดความเร็วแบบนี้จะ กำหนดอัตราทดตายตัวเลือกหาใช้ได้ง่ายตามส่วนประกอบที่เป็นมาตรฐานตามหนังสือคู่มือซึ่งจะบอกข้อมูล รายละเอียดของอุปกรณ์ลดความเร็วแบบต่างๆเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะกับความเร็ว กำลังขับ และลักษณะ การติดตั้ง อุปกรณ์ลดความเร็ว


รูปที่ 5 : อุปกรณ์ลดความเร็วแบบชุดสำเร็จ


1.3.4 ชุดอุปกรณ์ลดความเร็วติดตั้งเข้ากับมอเตอร์ (Gear motor and Motorized Reducers) อุปกรณ์ลดความเร็วความเร็วแบบนี้จะประกอบมาพร้อมกับมอเตอร์เป็นแบบมาตรฐานตามหนังสือคู่มือเพื่อ ความสะดวกในการใช้งาน เกียร์มอเตอร์จะมีลักษณะต่างๆดังนี้



1.3.4.1 เกียร์มอเตอร์ เป็นอุปกรณ์ลดความเร็วที่ติดตั้งเข้ามาพร้อมกับมอเตอร์เพลา ขับที่ยื่นออกมาจะเป็นแนวเดียวกับมอเตอร์


รูปที่ 6 : เกียร์มอเตอร์


1.3.4.2 เกียร์มอเตอร์แบบ Shaft Mount มอเตอร์จะติดเข้ากับอุปกรณ์ลดความเร็ว แบบ Shaft Mount เกียร์มอเตอร์แบบนี้จะมีรูสำหรับสวมเพลาขับของอุปกรณ์ลำเลียงต่างๆได้


รูปที่ 7 : เกียร์มอเตอร์แบบ Shaft Mount


1.3.4.3 เกียร์มอเตอร์แบบ Right Angle อุปกรณ์ลดความเร็วแบบนี้จะติดตั้งมอเตอร์ มาพร้อมกับอุปกรณ์ลดความเร็ว เพลาขับที่ยื่นออกมาจะไม่เป็นแนวเดียวกันกับมอเตอร์จะทำมุม 90 องศากับ มอเตอร์เพื่อความจำเป็นในการติดตังชุดขับที่มีพื้นที่จำกัด


รูปที่ 8 : เกียร์มอเตอร์แบบ Right Angle


1.4 อุปกรณ์สวมต่อเพลาส่งกำลัง (Flexible Couplings)

เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสวมต่อกันระหว่างเพลาส่งกำลังกับเพลาขับของอุปกรณ์ลำเลียง หรือระหว่างเพลามอเตอร์กับเพลาของอุปกรณ์ลดความเร็วและช่วยลดการกระชากที่เกิดขึ้นขณะเริ่มสตาร์ท การหมุนและขณะรับโหลดหนักๆ ทำให้เกิดความราบรื่นในการส่งกำลัง การเลือกคัปปลิ้งจะต้องพิจารณา จาก ชนิดของเพลาที่จะสวมต่อ เพลาทั้งสองอยู่ในแนวแกนเดียวกัน แรงบิดจากโหลดของวัสดุ การควบคุมการ สั่นสะเทือน แรงบิดที่ไม่สม่ำเสมอในขณะทำงาน ระยะเวลาในขณะใช้งาน เพื่อความเหมาะสมในการเลือก อุปกรณ์และความคุ้มทุน ลักษณะคัปปลิ้งที่ใช้กันทั่วไปมี 8 ชนิดดังนี้


1.4.1 คัปปลิ้งแบบโซ่กับเฟืองโซ่ (Chain and Sprockets Coupling) คัปปลิ้งแบบนี้จะมีปลอก สวมเพลาที่มีเฟืองโซ่ติดทั้งสองตัวสวมต่อกันด้วยโซ่ ซึ่งโซ่นั้นจะมีทั้งแบบเดี่ยวหรือแบบโซ่คู่ ทำจากเหล็ก หรือไนลอน คัปปลิ้งแบบนี้จะมีราคาถูก สามารถรับ แรงบิดสูงในการขนถ่ายปริมาณมากๆ ต้องมีการหล่อลื่น และอาจมีเสียงดังใน ความเร็วสูง โซ่แบบไนลอนจะลดเสียงดังและช่วยในการหล่อลื่นดี ไนลอนจะลดการเสียด สีในตัวและทำความสะอาดง่าย ใช้


รูปที่ 9 : คัปปลิ้งแบบโซ่


1.4.3 คัปปลิ้งแบบเฟือง (Gear Type Coupling)


รูปที่ 10 : คัปปลิ้งแบบเฟือง


1.4.4 คัปปลิ้งแบบ Steel Grid Coupling


รูปที่ 11 : คัปปลิ้งแบบ Steel Grid Coupling


1.4.5 คัปปลิ้งแบบยางรูปโดนัท Elastomeric Sleeve Type Coupling


รูปที่ 12 : คัปปลิ้งแบบยางรูปโดนัท


1.4.6 คัปปลิ้งแบบ Jaw Type Elastomeric Coupling


รูปที่ 13 : คัปปลิ้งแบบ Jaw Type Elastomeric Coupling


เอกสารอ้างอิง

1. ANSI/CEMA 350-2009, CEMA STANDARD No. 350, "SCREW CONVEYORS"



ชุดตัวเรือนสกรูลำเลียงวัสดุปริมาณมวล

นายธีรศักดิ์ ศรีมิตรรุ่งโรจน์
สามัญวิศวกร สาขาเครื่องกล (สก.4026)

กลุ่มวิจัยและพัฒนางานวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
(Research and Development of Materials Handling and Logistics Engineering Laboratory Center : RD - MHLELC)

ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 

1. ชุดตัวเรือนสกรู ( Housing )

ชุดตัวเรือนสกรูจะมีส่วนประกอบคือ รางลำเลียง ฝาปิด ปลายรางลำเลียง แคมป์ฝาปิด อานหรือ ฐานรองและสิ่งสำคัญคือการออกแบบทางเข้าและทางออกของวัสดุที่จะขนถ่าย อุปกรณ์ของชุดตัวเรือนจะมี รูปร่างลักษณะต่างๆดังนี้ 

1.1 รางลำเลียง ( Trough )

1.1.1 รางแบบหน้าแปลน ประกอบด้วยการใช้เหล็กแผ่นที่บาง และมีความแข็งแรงเพียงพอ สำหรับโค้งเป็นรูปตัวยู และเชื่อมยึดที่ปลายด้วยหน้าแปลนเหล็กที่แข็งแรงกว่า รางตัวยูในการสร้างรางเหล็ก แบบนี้ ข้อควรระวังคือ ขณะเชื่อม เหล็กแผ่นอาจจะโค้งได้ซึ่งจะทำให้เสียรูปทรงได้ 


รูปที่ 1 : รางแบบหน้าแปลน


1.1.2 รางลำเลียงแบบปีกคู่ (Double Flanged Trough) ถูกออกแบบในรูปแบบเฉพาะของ รางลำเลียงปีกคู่เพิ่มความแข็งแรงและความแข็งทางโครงสร้างขึ้นอย่างมากโดยปราศจากน้ำหนักที่ เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นโครงสร้างในรูปแบบดังกล่าวนี้สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อใช้งาน ร่วมกับชุดครอบปีกบาร์รอน (Barron Flanged Cover) รางลำเลียงแบบปีกคู่เหมาะสมกับเครื่องมือขนถ่ายที่ มีขนาดใหญ่ถึง 24 นิ้ว และมีความหนาถึง 10 มิลลิเมตร รางลำเลียงชนิดนี้สามารถทำขึ้นจากเหล็กกล้าไร้ สนิมหรือโลหะผสมอื่นๆ ได้ หน้าแปลนส่วนปลายแบบ Nu-weld ถูกเชื่อมแบบจิก (jig) อย่างต่อเนื่องที่ปลาย ของ แต่ละด้านเพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีการวางตัวอยู่ในระดับเดียวกันและมีการเชื่อมต่อที่แข็งแรง ถ้ามีความ ต้องการฐานรับน้ำหนัก รางลำเลียงชนิดนี้จะถูกจัดวางไว้ที่หน้าแปลนเชื่อมต่อ และสามารถใช้กับอานรับบ น้ำหนักรางลำเลียง (Trough saddle) ได้ 


รูปที่ 2 : รางลำเลียงแบบปีกคู่ (Double Flanged Trough)


1.1.3 รางลำเลียงปีกเหล็กฉาก (Angle Trough) จะมีการติดฉากที่ทำจากเหล็กกล้าไว้ตลอด ขอบบนของรางลำเลียงเพื่อให้มีความแข็งและความแข็งแรงสูงขึ้น โดยที่จะติดตั้งฉากเหล็กกล้ากับรางลำเลียง ทุกขนาดและทุกความหนาหน้าแปลนส่วนปลายแบบ Nu-weld ถูกเชื่อมแบบจิก (jig) อย่างต่อเนื่องที่ปลาย แต่ละด้านเพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีการวางตัวอยู่ในระดับเดียวกันและมีการเชื่อมต่อที่แข็งแรง รางลำเลียงปีกเหล็ก ฉากสามารถทำขึ้นจากเหล็กกล้ารีดร้อน (hot rolled steel) , เหล็กกล้าไร้สนิม หรือโลหะผสมชนิดอื่นๆ ได้ กับรางลำเลียงทุกขนาดและทุกความหนา และรางลำเลียงชนิดนี้ยังอาจนำไปชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (hot dip galvanized) นอกจากนั้น ยังสามารถทำการปรับปรุงรางลำเลียงให้เหมาะสมได้ เช่น การเจาะรูที่ ส่วนท้องราง (perforated bottom) , การจุ่มส่วนท้องสำหรับการติดตั้งที่ถูกสุขลักษณะ , การหุ้มรางลำเลียง เพื่อให้ความร้อนหรือทำให้เย็นลง เป็นต้น แม้ว่า โดยทั่วไป รางลำเลียงชนิดนี้ถูกติดตั้งกับฝาปิดแบบซีลไทต์ (Tile-Seal Cover) แต่ยังสามารถติดตั้งกับฝาปิดแบบอื่นได้ เช่น ฝาปิดแบบโดม (Dome), ฝาปิดแบบอกไก่ (Hip Roof) เป็นต้น ถ้ามีความต้องการฐานรับน้ำหนัก รางลำเลียงชนิดนี้จะถูกจัดว่างไว้ที่หน้าแปลน เชื่อมต่อ และสามารถใช้กับอานรับน้ำหนักรางลำเลียง (Trough saddle)ได้ 


รูปที่ 3 : รางลำเลียงปีกเหล็กฉาก (Angle Trough)


1.1.4 รางลำเลียงแบบขยายออก (flared trough) ถูกออกแบบเพื่อให้มีช่องว่างมาตรฐานยาว ครึ่งนิ้วระหว่างเกลียวหมุน (screw) และท้องของรางลำเลียง ด้านของรางลำเลียงที่ขยายออกเพิ่มการป้อน และการขนถ่ายวัสดุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัสดุที่ไม่สามารถไหลแบบอิสระได้ทั้งหมด หรือวัสดุที่มีลักษณะ เป็นแผ่นหรือชิ้นขนาดใหญ่ขอบด้านบนถูกทำให้เป็นปีกเพื่อให้สามารถรองรับฝาปิดได้และหน้าแปลนส่วน ปลายแบบ Nu-weld ถูกเชื่อมแบบจิก (jig) อย่างต่อเนื่องที่ปลายแต่ละด้านเพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีการวางตัวอยู่ ในระดับเดียวกันและมีการเชื่อมต่อที่แข็งแรง เมื่อนำไปใช้งานในสภาวะจำเพาะ รางลำเลียงแบบขยายออก อาจสร้างจากเหล็กแข็งไร้สนิม , โลหะผสมระหว่างนิเกลและทองแดง (Monel) หรือโลหะผสมชนิดอื่นๆ โดยทั่วไป ฝาครอบจะถูกยึดด้วยสลักหรือถูกติดตั้งด้วยแคมป์สปริงหรือแคมป์สกรู และอาจตกแต่งภายใน แบบเรียบ หรือตกแต่งภายนอกแบบอกไก่


รูปที่ 5 : รางลำเลียงแบบขยายออก (flared trough)


1.1.5 รางลำเลียงแบบท้องเปิด (Drop Bottom Trough) ถูกออกแบบให้สะดวกในการเข้าถึง เครื่องขนถ่ายแบบสกรูและภายในรางลำเลียงที่ซึ่งต้องการการทำความสะอาดบ่อยครั้งเพื่อกำจัดการเกาะติด และการปนเปื้อนหรือการสะสมของวัสดุบางชนิด รางลำเลียงประกอบด้วยส่วนท้องที่ติดด้วยบานพับซึ่ง สามารถเปิดออกได้เมื่อมีการปลดแคมป์ยึดออก ขอบของรางส่วนเปิดถูกซีลด้วยปะเกนเมื่อส่วนเปิดถูกปิด รางลำเลียงท้องเปิดอาจมีโครงสร้างแบบปีกคู่หรือโครงสร้างแบบปีกเหล็กฉากและสามารถใช้กับฝาปิดตามที่ คุณเลือกได้


รูปที่ 6 : รางลำเลียงท้องเปิด (Drop Bottom Trough)


1.1.6 รางแบบมีปลอกหุ้มด้านนอก (Jacketed Trough) รางเหล็กแบบนี้มีลักษณะพิเศษ แตกต่างกันออกไป มีโพลงห่อหุ้มเนื้อส่วนล่างของรางรูปตัวยูอยู่ วัตถุประสงค์ของการออกแบบก็คือใช้ในการ ทำให้วัสดุขนถ่ายร้อน แห้งหรือเย็นลงก็ได้ แล้วแต่เราจะบรรจุอะไรลงไปในโพลงส่วนล่าง ถ้าเราให้น้ำไหล ผ่านนที่โพรง ส่วนล่างก็จะให้ความร้อนแก่วัสดุที่จะขนถ่ายและทำให้แห้งขึ้นด้วย แต่ถ้าเราให้น้ำเย็นไหลผ่าน


รูปที่ 7 : รางแบบมีปลอกหุ้มด้านนอก (Jacketed Trough)


1.1.7 รางแบบท้องรางเป็นมุมฉาก (Rectangular Trough) รางเหล็กแบบนี้สร้างเป็นรูป สี่เหลี่ยม อาจทำจากเหล็กชิ้นเดียวหรือ 2 ชิ้นก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม สาเหตุที่สร้างเป็นรางสี่เหลี่ยมก็ เพื่อที่จะใช้ขนถ่ายวัสดุที่มีความคม เพื่อให้วัสดุเหล่านั้นตกค้างอยู่ในรางเหล็ก และเมื่อขนถ่ายวัสดุ วัสดุก็จะ เคลื่อนที่ไปบนวัสดุพวกเดียวกันทั้งนี้เพื่อป้องกันรางเหล็กไม่ให้สึกหรอมาก เพราะวัสดุมีคมไม่ได้เสียดสีกับ รางเหล็กเลย แต่จะเคลื่อนตัวไปบนพวกเดียวกันเอง 


รูปที่ 8 : รางแบบท้องรางเป็นมุมฉาก (Rectangular Trough)


1.1.8 รางลำเลียงแบบถอดเปลี่ยนด้านข้าง (Channel Trough) ทำจากรางเหล็กกล้าม้วน หรือรางเหล็กกล้าแบบแยก รางลำเลียงชนิดนี้ถูกนำไปใช้งานกับสถานที่ที่มีปัจจัยต่อการเสียดสีหรือการกัด กร่อนที่สูงมากและต้องการการเปลี่ยนรางลำเลียงใหม่อยู่บ่อยครั้ง ท้องของรางลำเลียงถูกยึดด้วยสลักเข้ากับ ด้านข้างของรางเหล็กกล้า (structural steel side channel) เพื่อทำให้รางมีความแข็งแรงมากขึ้นซึ่งสามารถ นำไปใช้งานกับบริเวณที่วางส่วนรับน้ำหนักของรางลำเลียง


รูปที่ 9 : รางลำเลียงแบบถอดเปลี่ยนด้านข้าง (Channel Trough)


1.1.9 รางแบบช่องว่างแคบ (Close Clearance Trough) เป็นรางเหล็กที่มีช่องทางระหว่าง ใบสกรูลำเลียงกับส่วนด้านใจของรางที่มีช่องว่างน้อยมาก สามารถที่จะกวาดวัสดุที่ลำเลียงในรางได้ตาม กำหนด และยังช่วยไม่ให้วัสดุที่ถูกลำเลียงตกมาด้านล่าง หรือหล่นถอยหลังได้น้อยที่สุด สำหรับการลำเลียง แบบนี้ได้มีการนำไปใช้กับแบบลำเลียงขึ้นแนวเอียงอีกด้วย 


รูปที่ 10 : รางแบบช่องว่างแคบ (Close Clearance Trough)


1.1.10 รางลำเลียงแบบเก็บฝุ่น (Dust Seal Trough) ถูกประกอบขึ้นจากเหล็กแท่งรูปตัว แซดขนานกับด้านบนและช่องลำเลียงที่มีขนาดเท่ากับความกว้างส่วนบน การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดโพรง ต่อเนื่องซึ่งมีหน้าแปลนปิดติดอยู่ทั้งสี่ด้านจากนั้น โพรงดังกล่าวนี้จะถูกเติมด้วยทราย,ยางที่มีลักษณะเป็น ฟองน้ำหรือวัสดุที่กำลังทำการขนถ่ายเพื่อให้สามารถป้องกันฝุ่นออกสู่ภายนอกและง่ายต่อการเข้าสู่ภายใน ท่ออลำเลียง 


รูปที่ 11 : รางลำเลียงเก็บฝุ่น (Dust Seal Trough)


1.1.11 รางแบบขอบด้านข้างสูง (High Side Trough) เป็นรางเหล็กที่มีส่วนด้านบนสูงกว่า ปกติแต่ มีส่วนอื่นเหมือนเดิม ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าในการลำเลียงวัสดุบ่งชนิดในที่ขณะขนถ่ายวัสดุเกิดการ จับตัวลักษณะเป็นยางเยิ้มจับติดกันเป็นแพ และพองตัวขึ้นด้านบนดังนั้นจึงต้องใช้รางแบบนี้ป้องกันไม่ให้วัสดุ ไหลออกนอกราง 

รูปที่ 12 : รางแบบขอบด้านข้างสูง (High Side Trough)

1.1.12 รางแบบท้องรางมีรูพรุน (Perforated Bottom Trough) รางแบบนี้บริเวณท้องรางจะ เป็นรูพรุนเลยขึ้นมาถึงบริเวณด้านข้างของราง ใช้สำหรับกรองของเหลงหรือน้ำออกจากวัสดุระหว่างลำเลียง วัสดุที่ลำเลียงจะต้องมีขนาดใหญ่กว่ารูพรุนของราง 


รูปที่ 13 : รางแบบท้องรางมีรูพรุน (Perforated Bottom Trough)


1.1.13 รางแบบท้องรางเป็นปลายเรียว (Tapered Bottom Trough) รางแบบนี้ใช้ในการช่วย ป้องกันไม่ให้วัสดุบางชนิด หนีออกจากรางในลักษณะลำเลียงขึ้นไปอยู่ด้านบนของสกรู ดังนั้นจึงต้องทำแบบ ปลายรางเป็นปลายเรียวให้ท้องรางตื้นขึ้นกว่าเดิม 


รูปที่ 14 : รางแบบท้องรางเป็นปลายเรียว (Tapered Bottom Trough)


1.1.14 รางแบบรูปทรงกลม (Tubular Trough) รางแบบนี้จะเป็นรูปทรงกระบอกรอบนอก เกลี้ยง หรือรอบนอกทรงกระบอกมีหน้าแปลนสำหรับยึดติดตั้งได้ และสามารถใช้กับงานภายนอกกลางแจ้งได้ หรือใช้กับงานลักษณะเอียงป้องกันวัสดุไหลย้อนกลับได้ด้วย

รูปที่ 15 : รางแบบรูปทรงกลม (Tubular Trough)


1.1.15 รางแบบมีช่องว่างมาก (Wide Clearance Trough) รางแบบนี้จะมีที่ระหว่างสกรู และ รางกว้างกว่าปกติ เพื่อลดปัญหาการสึกหรอเนื่องจากเวลาลำเลียงวัสดุบางอย่างจะทำให้เกิดการสึกหรอ นอกจากนี้แล้วรางแบบนี้ยังเหมาะที่จะใช้กับวัสดุที่มีการเกาะจับตัวเป็นแพ ในขณะลำเลียงจะได้การขนถ่าย วัสดุที่ดีขึ้น

รูปที่ 16 : รางแบบมีช่องว่างมาก (Wide Clearance Trough)


1.1.16 รางแบบมีแผ่นกั้นด้านหัวราง (Trough Bulk Head) เป็นรางที่มีลักษณะเป็นชุดแผ่น ป้องกันติดตั้งอยู่กั้นขวางตามรูปหน้าตัดของรางด้วยน๊อต หรือเชื่อมติดชุดแผ่นด้านบนนี้จะประกอบด้วย แบริ่งท้าย และชุดส่งกำลังที่ใช้กับงานลำเลียงวัสดุที่ร้อน ชุดแผ่นกั้นนี้ลักษณะคล้ายกระเป๋าหรือห้องที่กั้นให้ ชุดอุปกรณ์ที่อยู่ภายในให้ปลอดภัยจากสภาพร้อน ในทำนองเดียวกันชุดกั้นนี้ยังช่วยป้องกันยาง และแบริ่งให้ ปลอดภัยจากวัสดุที่มีคุณสมบัติในการขัดสีทำลายได้ด้วย

รูปที่ 17 : รางแบบมีแผ่นกั้นด้านหัวราง (Trough Bulk Head)


1.1.17 รางแบบมีแผ่นประกบอยู่ด้านนอก (Trough expansion Joint) รางแบบนี้จะมีส่วน ประกบต่อของรางอยู่ด้านนอกความยาวเท่ากับมาตรฐาน ได้ถูกดัดแปลงสำหรับไว้ใช้กับงานขนวัสดุที่ร้อน แผ่นประกอบที่ใช้ต่อนี้จะเจาะรูลักษณะเป็นแถวยาว ยึดด้วยน๊อตสามารถเลื่อนตัวปรับได้

รูปที่ 18 : รางแบบมีแผ่นกั้นด้านหัวราง (Trough Bulk Head)


1.1.18 รางแบบมีแผ่นบังคับมุม (Trough Hold-Down Angles) เป็นรางแบบมีส่วนที่ทำเป็น มุมเหลี่ยมไว้สำหรับบังคับตัวสกรูมิให้กระโดด หรือโผล่ขึ้นมาในกรณีที่ไม่มีแบริ่งแขวนรับโหลดอยู่ ในขณะ บางครั้งอาจมีก้อนวัสดุหมุนอยู่ด้านในสกรู ทำให้สกรูกระโดดหรือเคลื่อนตัวขึ้นมาได้ ส่วนที่ทำเป็นมุมเหลี่ยมนี้ จะคิดตลอดตามแนวยาวของรางและช่องว่างระหว่างมุมเหลี่ยมกับสกรูประมาณ ½ นิ้ว 


รูปที่ 19 : รางแบบมีแผ่นบังคับมุม (Trough Hold-Down Angles)


1.1.19 รางแบบมีฉนวนป้องกัน (Insulated Trough) รางแบบมีฉนวนป้องกัน เป็นรางที่มี ลักษณะถูกหุ้มห่อไว้ ใช้กับวัสดุที่ลำเลียงได้ทั้งแบบที่เป็นวัสดุร้อนหรือเย็น ชนิดของฉนวนที่จะนำมาหุ้มนั้นมี หลายแบบและมีหลายวิธีแล้วแต่จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม 

รูปที่ 20 : รางแบบมีฉนวนป้องกัน (Insulated Trough)


1.1.20 รางแบบมีแท่งเป็นแบบวางรอง (Trough Rider Bars) มีลักษณะเป็นแท่งๆ วางเรียง กันสำหรับวางในราง เป็นลักษณะเป็นแท่งๆ แท่งแบบอาจมีขนาดกว้าง 1-1 ½ นิ้ว วางอยู่บริเวณส่วนร่องโค้ง อ่างรางตลอดความยาวของอ่างราง อาจใช้ปริมาณแท่ง 2-4 แผ่น วางระยะเท่าๆ กัน ใช้สำหรับเป็นตัวช่วย หมุนตัวสกรูในกรณีที่ไม่ใช้แบริ่งหูหิ้วไม่ให้รางเกิดการเสียหาย บางที่เราอาจเรียกอีกย่างหนึ่งว่าขนาบเกลียว เพื่อใช้ช่วยใจการลำเลียงวัสดุที่มีคุณสมบัติเหนียวติดใบสกรูไม่ให้ติดใบสกรูได้ 


รูปที่ 21 : รางแบบมีแท่งเป็นแบบวางรอง (Trough Rider Bars)


1.1.21 รางแบบมีปลอกสำหรับเปลี่ยนได้และรางแบบมีเสื้อแขวน (Trough Hanger-Pockets) ปีกหิ้วแบบมีปลอกหรือสวมเป็นชุดที่ใช้กับรางแบบที่มีลักษณะคล้ายหลอด ซึ่งปีกหิ้วแบบมีปลอกหรือสวมโดย จะติดตั้งบนรางตรงจุดแบริ่งแขวน กระเป๋านี้จะมีลักษณะคล้ายรูปตัวยูเป็นช่วงสั้นเพราะจะทำให้ทำงาน ได้สะดวก

รูปที่ 22 : รางแบบมีปลอกสำหรับเปลี่ยนได้และรางแบบมีเสื้อแขวน


1.2 ฝาครอบราง (Cover)

1.2.1 ฝาครอบรางมีหน้าที่สำคัญดังนี้

1.2.1.1 ใช้ป้องกันส่วนที่เกิดการเคลื่อนไหวได้ของสกรูลำเลียง ในส่วนที่อาจเกิด อันตรายจากการถูกชิ้นส่วนที่หมุนของสกรูลำเลียง 

1.2.1.2 ใช้เป็นส่วนที่ปิดกันวัสดุในการลำเลียงไม่ให้ออกมา และยังป้องกันฝุ่นละออง จากภายนอกเข้าไปข้างในตัวลำเลียงอีกด้วย แรงต้านทานวัสดุนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างของฝาจะต้องมีความ แข็งแรงมั่นคง 

1.2.1.3 ถ้าฝาครอบรางหรือตัวเรือนลำเลียงถูกเปิดหรือหลุด ก็เท่ากับการขนถ่ายถูก เปิดออกซึ่งทำให้การขนถ่ายมีประสิทธิภาพลดลงไปนั่นเอง 

1.2.1.4 ป้ายบอกอันตรายในการทำงานและการบำรุงรักษาขั้นแรกจะต้องให้มองเห็น ทำให้หยุดคิดถึงคำเตือนเรื่องความปลอดภัยก่อน 

1.2.1.5 ในการติดตั้งฝาครอบรางนั้นขึ้นอยู่กับระดับความสำคัญของการขนถ่าย และจุดมุ่งหมายของการใช้ฝา 

1.2.1.6 มาตรฐานของฝาครอบรางได้จัดทำอุปกรณ์ในการติดตั้งให้สะดวกขึ้นรวมทั้ง ฝาครอบรางเป็นแบบพิเศษก็มีให้เลือกมากมายหลายแบบ และอีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นส่วน ราง และความกว้างของอ่างรางด้วย 

1.2.1.7 ในการจัดทำอุปกรณ์ทีใช้ติดฝาครอบนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับแนะนำให้ใช้กับ แบบของลำเลียงด้วย 

1.2.1.8 แบบรูปร่างและอุปกรณ์ติดฝาครอบขึ้นอยู่กับแบบของฝุ่นด้วย ชุดประกอบ มักจะทำเป็นสปริงรูปตัว “C” ประกอบด้วยสกรูขันแบบปากเดียว ทำให้สะดวกต่อการถอดทำความสะอาดของ อ่างราง 

1.2.1.9 ปีกของฝาครอบจะมีลักษณะแบบยื่นออกมา และจะต้องแข็งแรงง่ายต่อการ ยึดจับ หรือง่ายต่อการหาน๊อตมาจับยึดฝาครอบรางด้านบนมีไว้เพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าไปปะปนกับวัสดุ ที่ เราจะขนถ่ายหรือป้องกันไม่ให้วัสดุที่เราจะขนถ่ายกระเด็นออกไปนอกรางเหล็ก ซึ่งฝาครอบรางส่วนบนของ รางเหล็กนี้ สามารถแบ่งได้หลายแบบ 

1.2.2 ฝาครอบรางแบบแบนเรียบ (plain cover) ฝาครอบรางแบบนี้สร้างมาจากเหล็กแผ่น ธรรมดาไม่ต้องพับหรือโค้งงอวางลงไปบนขอบบนของรางตัวยู แล้วใช้ยึดให้ติดกันโดยการใช้สปริงยึดหรือ ใช้น๊อตยึด



รูปที่ 23 : ฝาครอบรางแบบแบนเรียบ (plain cover)


1.2.3 ฝาครอบรางแบบมีหน้าแปลนมายึด (flanged cover) ฝาครอบรางแบบนี้ ที่ขอบตาม ด้านยาวพับเป็นมุมฉากพอดีที่จะรองรับความกว้างของรางรัวยู การยึดใช้น๊อตยึด หรือจะใช้สปริงยึดก็ได้


รูปที่ 24 : ฝาครอบรางแบบมีหน้าแปลนมายึด (flanged cover)


1.2.4 ฝาครอบรางแบบโค้งต่อกับหน้าแปลน (semi-flanged cover) ฝาครอบรางแบบนี้หน้า แปลนที่จะวางฝาครอบรางลงไปเอียงเล็กน้อยเป็นมุมประมาณ 30 องศา การยึดสามารถใช้สปริงยึดหรือ ใช้น๊อตยึดก็ได้ 


รูปที่ 25 : ฝาครอบรางแบบโค้งต่อกับหน้าแปลน (semi-flanged cover)


1.2.5 ฝาครอบรางกับฝุ่น ( Bolted Cover ) ฝาครอบรางแบบนี้จัดอยู่ในแบบเดียวกันกับฝา ครอบรางแบบมีหน้าแปลนยึดแต่ประกอบเข้ากับรางในลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่ง คือ ฝาครอบรางกันฝุ่นตรง ขอบด้านยาวก็พับลงเป็นมุม 90 องศา เหมือนกันแต่ใช้กับรางเหล็กแบบ รางที่ป้องกันฝุ่นเท่านั้น 




รูปที่ 26 : ฝาครอบรางกันฝุ่น ( Bolted Cover )


1.2.6 ฝาครอบรางรูปครึ่งวงกลม (Dome Trough Cover) จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับราง และมีปีกยืดออกมา 2 ข้าง เพื่อประกบกับรางได้สนิท และปีกที่ยึดด้วยสลักเกลียว หรือปากกาสำหรับจับวัตถุ ตอนปลายจะเป็นปีกรูปวงกลมเหมือนกับรางเป็นหน้าแปลน ตรงรอยต่อตอนปลายรางจะมีชุดคั่นกลาง จะเป็น ท่อดูดลมหรือกำจัดฝุ่นที่ติดอยู่กับราง ส่วนมากจะป้องกันความร้อน หรือฝุ่นวัสดุที่ฟุ้งกระจายออกมา 


รูปที่ 27 : ฝาครอบรางรูปครึ่งวงกลม (Dome Trough Cover)


1.2.7 ฝาครอบรางครอบกันฝุ่น (Dust Seal Covers) จะมีปีกยื่นออกมาแล้วตลบปีกลงทั้ง 4 ด้าน ให้ประกบแนบสนิทพอดีกับปีกของรางด้านล่าง ความกว้างหน้าตัดฝาครอบไม่ควรยาวเกิน ½ ความ ยาวของตาราง 

รูปที่ 28 : ฝาครอบรางครอบกันฝุ่น (Dust Seal Covers)


1.2.8 ฝาครอบรางแบบบานพับ (Hinged Covers) ฝาครอบรางแบบนี้จะเป็นแบบฝา แบนราบหรือแบบแบนรูปพิเศษก็ได้ ซึ่งด้านหนึ่งจะเป็นบานพับเป็นแนวโค้งตลอด ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็น ปากกาสำหรับยึดฝาครอบรางกับหน้าแปลนที่ปีกของราง เหมาะใช้งานบริเวณที่ต้องการความปลอดภัยจาก การลื่นหลุดของฝาครอบเช่น บริเวณใกล้ทางเดิน หรือบริเวณที่มีโอกาสเกิดการชนกระแทกฝาครอบให้หลุด หล่นได้โดยง่าย เป็นต้น 


รูปที่ 29 : ฝาครอบรางแบบบานพับ (Hinged Covers)


1.2.9 ฝาครอบรางแบบหลังคา (hip roof cover) ฝาครอบรางแบบนี้คล้ายกับฝาครองที่มีปีก โดยทั่วไป ผิดกันตรงที่ลักษณะของฝาเป็นยอดจั่วแหลมและลาดลงมาเล็กน้อย ตรงปลายสุดยอดแหลมจะเป็น ลักษณะเชื่อมปิดและช่วงต่อตรงส่วนกลางระหว่างแผ่นวัสดุสองแบบทะทาบปิดด้วยแผ่นโลหะแบบปกติ ฝาครอบรางแบบนี้จะใช้กับงานที่อยู่ในกลางแจ้งหรือที่มีน้ำหนักหล่นมาโดน สามารถไหลลงตามหลังคา ลาดชันได้ หรือต้องการใช้งานที่มีฝาครอบแน่นหนาก็ได้


รูปที่ 30 : ฝาครอบรางแบบหลังคา (hip roof cover)


1.2.10 ฝาครอบรางแบบล้นออกมา (Overflow Cover) ฝาครอบแบบนี้มีไว้เพื่อผ่อนการไหล ของวัสดุ ทำให้เกิดความปลอดภัยจากวัสดุไหลออกมาช่องปล่อยได้โดยตรง การไหลผ่านฝาครอบรางที่ทำ แบบฝาเปิดบานพับที่ติดตามความกว้างของรางนั้นต้องใช้แรงของวัสดุดันฝาเปิด แรงนี้จะต้องตั้งบานพับ ฝาครอบรางให้พอเหมาะกับการไหลของวัสดุด้วย ฝาครอบรางนี้เป็นตะแกรงและจะต้องมีป้ายเตือนบอก ถึงอันตรายไว้ด้วย 


รูปที่ 31 : ฝาครอบรางแบบล้นออกมา (Overflow Cover)


1.2.11 ฝาครอบรางแบบมีแผ่นกั้นด้านข้าง (Shroud Cover) เป็นส่วนที่ นอกเหนือจากราง รูปตัวยู และยึดฝาครอบรางด้วยโบทล์ยึดด้านข้างฝาครอบสกรูลำเลียงที่ขนในแนวเอียง และสกรูตัวป้อน ข้อดี ของฝาสกรูแบบนี้ก็คือ ช่วยทำให้โครงสร้างของรางแข็งแรงขึ้น และยังสามารถติดตั้งส่วนประกอบชุดแขวนได้ นอกจากนี้แล้วฝาแบบนี้ยังสามารถปิดได้ถึงขอบใบเกลียวสกรูและส่วนของอ่างรางสกรูได้ดีกว่าฝาครอบราง แบบแบนโดยทั่วไป 


รูปที่ 32 : ฝาครอบรางแบบมีแผ่นกั้นด้านข้าง (Shroud Cover)


1.2.12 ฝาครอบรางแบบเป็นตะแกรง (Grating Covers) ฝาครอบรางแบบนี้ทำจากลวดหรือ เหล็กเส้นนำมาดัดเป็นตะแกรง ซึ่งเราสามารถมองตรวจสอบการทำงานของสกรูลำเลียงได้สะดวกและง่าย 


รูปที่ 33 : ฝาครอบรางแบบเป็นตะแกรง (Grating Covers)


1.2.13 ฝาครอบปีกบาร์รอน (Barron Flanged Cover) ถูกออกแบบให้ใช้งานร่วมกับราง ลำเลียงแบบปีกคู่ ฝาครอบนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ป้องกันรางลำเลียงจากสภาวะอากาศ แต่ปะเก็น (Gasket) ที่อยู่ ระหว่างฝาครอบและรางลำเลียงอีกทั้งอยู่ใต้แคมป์บาร์รอน (Barron clamp) ทำหน้าที่เพิ่มระดับการป้องกัน สภาวะอากาศ สำหรับการป้องกันสูงขึ้น สามารถติดตัวค้ำยัน ให้วางซ้อนกับข้อต่อฝาครอบ หลังจากนั้น ควรล๊อก ฝาครอบด้วยสลักหรือแคมป์สกรู 


รูปที่ 34 : ฝาครอบปีกบาร์รอน (Barron Flanged Cover)


1.2.14 ฝาครอบแบบซีลไทต์ (Tite-Seal Cover) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับราง ลำเลียงปีกเหล็กฉาก ฝาครอบชนิดนี้ทำหน้าที่เพิ่มการป้องกันฝุ่น ฝาปิดแบบเรียบ (flat cover) ถูกติดตั้งไว้ อย่างหนาแน่นโดยการสร้างขอบเหล็กกล้ารูปตัว U แบบต่อเนื่องตลอดขอบของรางลำเลียงทั้งสอง การสร้าง ขอบรูปตัว U ดังกล่าวนี้ถูกยึดด้วยยางและซีลที่มีลักษณะเป็นฟองน้ำ แคมป์ยึดฝาปิดที่เปิดออกได้อย่าง รวดเร็วแบบ ซีลไทต์ทำหน้าที่ยึดชิ้นส่วนทั้งหมดไว้กับที่และนอกจากนั้นยังง่ายต่อการเข้าสู่ส่วนภายในของ รางลำเลียง ปะเกนที่ติดกับด้านล่างของแคมป์ยึดฝาครอบทำหน้าที่ซีลรอยต่อตลอดความยาวของฝาปิด 


รูปที่ 35 : ฝาครอบแบบซีลไทต์ (Tite-Seal Cover)


1.3 ปลายรางลำเลียง (Trough Ends)

1.3.1 ปลายรางลำเลียงแบบ 100 และแบบ 101 นี่คือปลายรางลำเลียงที่สร้างมาจากเหล็กกล้า ซึ่งโดยทั่วไปติดด้วยแบริ่งหน้าแปลนส่งกำลังแบบแบ็บบิท (babbitted transmission flange bearing) แม้ว่า วัสดุชนิดอื่นๆ สามารถนำมาใช้ทำแบริ่งได้เช่น ทองแดง,Bronze Oilite,Arguto,และไนลอน เป็นต้น (สำหรับ ปลายรางลำเลียงที่ติดบอลแบริ่งต้านทานการสึกหรอ จะเป็นแบบ 102 และ 103) แบริ่งแบ็บบิทที่สามารถ ถอดเปลี่ยนและในแต่ละประเภทปีกส่วนบนทำหน้าที่รองรับฝาปิดของเครื่องลำเลียง ปีกส่วนท้องของปลาย รางลำเลียงแบบ 101 เป็นส่วนรับน้ำหนักของเครื่องขนถ่ายเมื่อใช้ปลายยรางลำเลียงแบบ 100 ต้องทำการรับ น้ำหนักของเครื่องขนถ่ายจากด้านบนหรือจากฐานรองรับบนหน้าแปลนนส่วนปลายของเครื่องขนถ่าย



รูปที่ 36 : ปลายรางลำเลียง แบบ 100 และแบบ 101


1.3.2 ปลายรางลำเลียงแบบต้านทานการสึกหรอแบบ 102 และแบบ 103 ปลายรางถูกติดตั้ง ด้วยบอลแบริ่งที่สามารถปรับแนวระดับของตัวมันเองซึ่งสามารถรองรับการเปลี่ยนองศาของเพลาแบบต่างๆ ได้ นอกจากนั้น สำหรับการใช้งานที่ค่อนข้างเบามาก ไม่แนะนำให้ใช้ส่วนประกอบนี้กับเพลาขับ โดยทั่วไป แล้ว กันรุนที่ปลายแบบ Chevron หรือตัวรองรับแบริ่งแข็งอื่นๆ ถูกแนะนำให้ใช้กับเพลาขับ บอลแบริ่งถูก ติดตั้งเข้ากับแผ่นปลายของเครื่องขนถ่ายด้วยสตัด (stud สลักเกลียว) การใช้สตัดเพื่อติดแบริ่งนั้นช่วยขจัด ปัญหาหัวน๊อตที่โผ่ลออกภายในรางลำเลียงและขจัดความเป็นไปได้ในการเล็ดลอดหรือการเกาะติดของวัสดุ


รูปที่ 37 : ปลายรางลำเลียงแบบต้านทานการสึกหรอ แบบ 102 และ แบบ103


1.3.3 ปลายรางลำเลียงแบบ 104 และแบบ 107 ปลายรางลำเลียงแบบปล่อยถูกออกแบบให้ใช้ งานเมื่อต้องการปล่อยให้วัสดุไหลออกที่ปลายของรางลำเลียงและเมื่อบรรทุกวัสดุไม่เกินกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ปลายรางลำเลียงแบบ 104 ถูกติดตั้งด้วยบอลแบริ่งที่สามารถปรับตัวมันเองให้ขนานไปกับเพลาได้ ปลายราง ลำเลียงแบบ 107 เป็นแบบที่ใช้งานกันซึ่งถูกติดตั้งด้วยบอลแบริ่งหน้าแปลนแบ็บบิทและมีความคลายคลึงกับ ปลายรางลำเลียงแบบ 100 และ 101 เว้นแต่แบบ 100 และ 101 ถูกติดตั้งด้วยหน้าแปลนรูยึด (bolt flange) สองหรือสามรูซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของรูยึด ปลายรางลำเลียงแบบ 104 ซึ่งมีรูยึดขนาด 1.2 หรือ 2 นิ้วคือแบบที่ มีหน้าแปลนรูยึดสองรู และขนาดอื่นๆ คือแบบที่มีหน้าแปลนรูยึดสามรู 


รูปที่ 38 : ปลายรางลำเลียงแบบ 104 และแบบ 107


1.3.4 ปลายรางลำเลียงแบบขยายแบบ 114 และแบบ 115 ปลายรางลำเลียงแบบขยายจะ ประกอบด้วยปีกส่วนบนซึ่งทำหน้าที่รองรับฝาปิดและปีกส่วนท้องทำหน้าที่เป็นฐานรองรับน้ำหนักการ 


รูปที่ 39 : ปลายรางลำเลียงแบบขยายแบบ 114 และ 115


1.3.5 ปลายรางลำเลียงแบบหิ้ง (shelf type trough end) ปลายรางลำเลียงแบบหิ้งมี โครงสร้างเป็นแผ่นเหล็กกล้าซึ่งมีฐานวางแบริ่งติดอยู่ที่ส่วนปลายสำหรับทำการติดตั้งแท่นรองแบริ่งแบ็บบิท, บอลแบริ่ง แบริ่งทองเหลืองหรือแบริ่งโรลเลอร์ ซีลคอเพลา (seal gland) ซึ่งปิดช่องเพลา ทำหน้าที่ปกป้อง แบริ่งและป้องกันฝุ่นที่มาจากวัสดุ สำหรับการทำงานในสภาวะที่รุนแรงสูงมากๆ สามารถใช้ซีลแบบปั้ม (pump type seal)ได้ สามารถเปลี่ยนปลายรางลำเลียงแบบหิ้งกับปลายรางลำเลียงแบบภายนอกอื่นๆได้ และปลายรางลำเลียงแบบหิ้งสามารถนำไปใช้งานขนถ่ายวัสดุที่ร้อนหรือวัสดุที่ขัดสีได้ 


รูปที่ 40 : ปลายรางลำเลียงแบบหิ้ง (shelf type trough end)


1.3.6 ซีลป้องกันฝุ่นสำหรับปลายรางลำเลียง (trough end dust sea) เสื้อประเกนอัด ( packing seal housing ) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกับแบริ่งที่ส่วนปลายของรางลำเลียงจากการรั่วออกของ วัสดุและเพื่อป้องกันวัสดุที่กำลังทำการขนถ่ายจากน้ำมันหล่อลื่นแบริ่ง สามารถใช้ซีลแบบลีฟ (lip-type seal) หรือซีลอัดแบบสิ้นเปลือง (waste pack seal) หรืออาจใช้ทั้งสองชนิดขั้นต้นร่วมกันประเกนอัดแบบสิ้นเปลือง (waste packing) เป็นประเกนชนิดมาตรฐานและสามารถใช้ประเกนชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ได้ตาม ต้องการจำเพาะของวัสดุ 

รูปที่ 41 : ซีลป้องกันฝุ่นสำหรับปลายรางลำเลียง (trough end dust seal)


1.3.7 ซีลคอเพลาแบบแยกออก (split seal gland) ใช้ประเกนแบบเกลียว (twisted packing) เพื่อป้องกันการรั่วออกของวัสดุที่กำลังทำการขนถ่ายและเพื่อป้องกันวัสดุที่กำลังขนถ่ายจากน้ำมันหล่อลื่น แบริ่งความชื้น หรือการปนเปื้อนจากฝุ่น โดยทั่วไป ซีลคอเพลาจะใช้กับปลายรางแบบหิ้งและจะถูกทำให้แยก ออกจากกันเพื่อให้ง่ายต่อการประกอบและอัดประเกนอีกครั้ง 


รูปที่ 42 : ซีลคอเพลาแบบแยกออก (split seal gland)


1.3.8 ซีลแบบปั้ม ซีลแบบปั้มถูกออกแบบให้ใช้งานในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเมื่อต้องการรักษาระดับความดันบวกหรือลบให้คงตัว นอกจากนี้ ซีลดังกล่าวนี้อาจใช้แหวนแลนเทิน ( lantern ring ) และข้อต่อปล่อยอากาศ (air purge fitting) ซีลแบบปั้มสามารถใช้กับรางลำเลียงแบบหิ้ง ภายนอกได้เพียงอย่างเดียว


รูปที่ 43 : ซีลแบบปั้ม


1.3.9 กันรุนที่ปลายแบบแบริ่งโรลเลอร์ Chevron พร้อมกับปลายรางลำเลียงแบบ 109 และ 110 กันรุนที่ปลายแบบโรลเลอร์ Chevron ถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงกระทำในแนวแกนเพลา (thrust load) ปานกลางจนกระทั่งมาก และมีความสามารถรองรับแรงกระทำในแนวแกนและในแนวรัศมีเพลา (radial) ที่ เพียงพอสำหรับการใช้งานใดๆ นอกจากนั้น กันรุนชนิดนี้ยังสามารถดูดซับแรงกระทำในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ได้ เมื่อเครื่องมือขนถ่ายแบบสกรูเริ่มทำงาน แรงกระทำเกิดขึ้นในทิศทางตรงกันข้ามกับการไหลของวัสดุถ้าไม่ จำกัดแรงกระทำดังกล่าวนี้ แบริ่งของชุดแขวน ปลายรางลำเลียงและใบสกรูจะสึกหรอในอัตราที่สูงมาก กันรุน ที่ปลายแบบโรลเลอร์ Chveron สามารถติดตั้งกับเพลาขับหรือเพลาส่วนปลายได้ และมีข้อแนะนำว่าควรขับ เครื่องขนถ่ายแบบสกรูด้วยกันรุนชนิดนี้มากกว่าที่จะใช้กันรุนแบบบอลแบริ่ง (สามารถปรับตัวมันเองให้ขนาน ไปกับเพลาได้) 


รูปที่ 44 : กันรุนที่ปลายแบบแบริ่งโรลเลอร์พร้อมกับปลายรางลำเลียงแบบ 109 และ110


1.3.10 กันรุนที่ปลายแบบแบริ่งโรลเลอร์ Hammond พร้อมกับปลายรางลำเลียง กันรุนที่ปลาย แบริ่งโรลเลอร์แบบเรียวที่ประกอบด้วยสองส่วน (dual tapered roller bearing end thrust) นี้ถูกออกแบบ เพื่อรองรับแรงกระทำในแนวแกนและในแนวรัศมีเพลาที่สูงมากๆ แม้ว่าโดยปกติแล้ว แบริ่งกันรุนแบบแบริ่ง โรลเลอร์ Hammond จะถูกติดตั้งอยู่กับปลายรางลำเลียงแบบแผ่นที่ทำจากเหล็กกล้า แต่ปลายรางลำเลียงจะ ไม่ถูกติดตั้งด้วยกันรุน นอกเหนือจากได้รับการสั่งทำพิเศษ


รูปที่ 45 : กันรุนที่ปลายแบบแบริ่งโรลเลอร์ Hammond พร้อมกับปลายรางลำเลียง


1.3.10 กันรุนที่ปลายแบบประเกนทองเหลือง (bronze washer type end thrust)

1.3.10.1 แบบภายใน BW-1 ถูกติดตั้งไว้ภายในรางลำเลียงที่ปลายขาเข้าชิ้นส่วนที่ มีราคาถูกชิ้นนี้สามารถรองรับแรงอัดในแนวแกนเพลา (compression thrust load) ปานกลางจนกระทั่งเบา มันประกอบด้วยประเกนทองเหลืองส่งกำลัง (transmission bronze washer) ซึ่งขนานแต่ละข้างด้วย ประเกนเหล็กกล้าที่ผ่านการตกแต่งด้วยเครื่องจักร 


รูปที่ 46 : แบบภายใน BW-1


1.3.10.2 แบบภายนอก BW-2 จะถูกติดตั้งไว้ที่ปลายขาออก (discharge end) ของเครื่องมือขนถ่าย ชิ้นส่วนนี้สามารถรองรับแรงดึงในแนวแกนเพลา (tension thrust load) ขนาดเบา ประเกนทองเหลืองส่งกำลังถูกติดตั้งอยู่ระหว่างตัวเชื่อม (hub) แบริ่งปลายรางลำเลียงด้านหน้าและปะเก็น เหล็กกล้าที่ผ่านการตกแต่งด้วยเครื่องจักรด้วยแหวนกันรุนทรูอาร์ก (tru-arc)



รูปที่ 47 : แบบภายนอก BW-2


1.4 แคมป์ฝาปิดรางลำเลียง (Trough Cover Clamp)

1.4.1 แคมป์ฝาปิดสปริง (Spring Cover Clamp) โดยทั่วไปแคมป์ฝาปิดสปริงเหล็กกล้าถูก ใช้ในการยึดฝาปิดแบบเรียบหรือฝาปิดแบบหน้าแปลนครึ่งเดียวให้ติดกับรางลำเลียง สำหรับงานที่ต้องการ การป้องกันฝุ่น แคมป์ชนิดนี้ยังสามารถใช้กับฝาปิดที่มีประเกน (gasketed cover) โดยปกติแล้วแคมป์ฝาปิด สปริงถูกวางที่ตำแหน่งห่างจากศูนย์กลาง 2 ฟุต 6 นิ้ว ถ้าประเกนมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้วหรือใกล้ กว่าเพื่อความเหมาะสม 

รูปที่ 48 : แคมป์ฝาปิดสปริง (Spring Cover Clamp)


1.4.2 แคมป์ฝาปิดต่อเนื่อง (continuous cover clamp) แคมป์ฝาปิดต่อเนื่องคือแคมป์สปริง ที่แข็งแรงทนทาน (heavy –gauge spring clamp) ซึ่งมีความยาว 5 ฟุต แคมป์ชนิดนี้เหมาะสมอย่างดีเลิศ สำหรับ ยึดฝาปิดแบบเรียบกับรางลำเลียง หรือสำหรับยึดรางลำเลียงท้องเปิดหรือรางลำเรียงที่มีการเปิดเร็ว (quick- opening trough) หรือส่วนที่เป็นโครง (casing section) แคมป์แบบต่อเนื่องนี่สามารถทำจากเหล็ก อบดำ (black iron) หรือเหล็กกล้าไร้สนิม โดยที่อาจมีหรือไม่มีหมุดล๊อค (locking pin) ที่ส่วนปลาย 


รูปที่ 49 : แคมป์ฝาปิดต่อเนื่อง (continuous cover clamp)


1.4.3 แคมป์ฝาปิดสกรู (screw cover clamp) แคมป์สกรูอาจนำไปประยุกต์ใช้กับฝาปิดราง ลำเลียงแบบเรียบหรือฝาปิดรางลำเลียงแบบพิเศษอื่นๆ และโดยปกตอแล้ว แคมป์ฝาปิดสปริงถูกวางที่ ตำแหน่งห่างจากศูนย์กลาง 30 นิ้ว ถ้าประเกนมีขนาดศูนย์กลาง 15 นิ้ว หรือไกลกว่าเพื่อความเหมาะสม นอกจากนั้น แคมป์สกรูถูกใช้เพื่อยึดส่วนท้องของรางลำเลียงท้องเปิดอีกด้วย


รูปที่ 50 : แคมป์ฝาปิดสกรู (screw cover clamp)


1.5 อานและฐานรองรับ (Supporting Feet and Saddles)

ฐานรองรับทำหน้าที่เป็นตัวปรับระดับและยึดรางลำเลียงกับพื้นหรือโครงสร้างที่ปรากฏอยู่ (existing structure) ที่บริเวณส่วนข้อต่อของรางลำเลียง (trough joint) ความสูงปลายของรางลำเลียงถูก รักษาให้มีระดับคงตัวได้อย่างแม่นยำและฐานรองรับสามารถอำนวยความสะดวกในการถอดปลายรางลำเลียง ออกโดยปราศจากการรบกวนหน่วยขนถ่ายทั้งหมด อานรองรับถูกใช้เพื่อรองรับรางลำเลียงระหว่างส่วนของ รางลำเลียงส่วนต่างๆ และถูกใช้เพื่อยึดรางให้ติดกับพื้นหรือโครงสร้างที่ปรากฏอยู่ ความสูงทั้งหมดจากพื้น เท่ากับความสูงของปลายรางลำเลียงบวกกับฐานรองรับ 


รูปที่ 51 : Supporting Feet


รูปที่ 52 : Saddles


1.6 ท่อปล่อยภาระและประตู (Trough Discharge Spouts and gates)

1.6.1 ท่อปล่อยภาระและประตูมีหน้าที่สำคัญดังนี้

1.6.1.1 ท่อปล่อยภาระและประตู ทำหน้าที่ปล่อยวัสดุออกจากรางลำเลียงและทำ หน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อใช้ในการขนถ่ายวัสดุเข้าไว้ด้วยกัน ประตูทำหน้าที่ควบคุมท่อลำเลียงต่างๆ 

1.6.1.2 ท่อลำเลียงและประตูทั้งหมดมีโครงสร้างเหล็กกล้าที่เชื่อมไว้ด้วยกันกับหน้า แปลนเชื่อมต่อโดยที่หน้าแปลนจะถูกเจาะรูที่มีระยะช่องไฟถูกต้องแม่นยำเพื่อให้สามารถถอดเปลี่ยนได้และ ง่ายต่อการประกอบ 

1.6.1.3 ประตูเลื่อนซึ่งทำงานด้วยมือหรือระบบเฟืองทดอาจถูกติดตั้งไว้เพื่อใช้งาน ทุกประเภทในแนวขนานหรือแนวตั้งฉาก ประตูเฟืองทดอาจติดตั้งด้วยเฟืองโซ่และโซ่สำหรับการควบคุมด้วย รีโมตเพลาเฟืองอาจถูกขยายออกเพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานในรูปแบบต่างๆ 

1.6.1.4 ท่อปล่อยและประตูสามารถผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าไรสนิมหรือโลหะที่ไม่มี เหล็กเป็นองค์ประกอบชนิดต่างๆ (nonferrous metals) สามารถออกแบบให้ท่อลำเลียงมีลักษณะพิเศษเพื่อ ใช้งานในสภาวะที่ไม่ปกติได้ 

1.6.2 ช่องเปิดของท่อปล่อยแบบปกติ ( plain discharge opening ) ถูกตัดที่ส่วนท้องของราง ลำเลียง ณ ที่ตำแหน่งที่ต้องการเพื่อให้เกิดการปล่อยวัสดุได้อย่างอิสระ พวกมันถูกใช้งานในการขนถ่ายวัสดุ ไปยังสถานที่เก็บ ( storage ) แบบเปิดหรือแบบปิด หรือนำไปประยุกต์ใช้ในงานที่คล้ายคลึงกัน


รูปที่ 53 : ช่องเปิดของท่อปล่อยแบบปกติ (plain discharge opening)


1.6.3 ท่อปล่อยภาระ (discharge spout) ถูกเชื่อมในตำแหน่งที่มีการติดตั้งเครื่องขนถ่าย เสร็จสิ้นแล้วพวกมันจะถูกสร้างด้วยความหนาซึ่งเป็นสัดส่วนกับขนาดและความหนาของรางลำเลียง 


รูปที่ 54 : ท่อปล่อยภาระ (discharge spout)

1.6.4 ท่อปล่อยภาระแบบปลายตัด (flush end discharge spout) ถูกเชื่อมประกอบไว้บน รางลำเลียงแบบปีกคู่หรือรางลำเลียงปีกเหล็กฉาก พวกมันจะถูกสร้างด้วยความหนาซึ่งมีสัดส่วนกับขนาด และความหนาของรางลำเลียง 


รูปที่ 55 : ท่อปล่อยภาระแบบปลายตัด (flush end discharge spout)


1.6.5 ประตูเลื่อนด้วยมือ (hand slide gate) ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เชื่อมต่อกับท่อปล่อยภาระ และสามารถทำงานได้จากด้านหนึ่งด้านใดจากทั้งสี่ด้าน พวกมันจำเป็นต้องมีระยะสำหรับการเปิดประตูที่ เพียงพอ 


รูปที่ 56 : ประตูเลื่อนด้วยมือ (hand slide gate)


1.6.6 ประตูที่ควบคุมการทำงานด้วยอากาศ (air operated air) เป็นชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูง และถูกออกแบบสำหรับงานที่มีการเปิดปิดประตูบ่อยครั้งซึ่งต้องมีแรงเสียดทานในการทำงานที่ต่ำ ประตู ชนิดดนี้ถูกกสร้างขึ้นเพื่อรองรับกระบอกอัดอากาศที่มีหน้าแปลน (flange-faced air cylinder) และมีลูกกลิ้ง ติดกับแผ่นเลื่อนซึ่งปฏิบัติงานในโครงสร้างเหล็กกล้าขึ้นรูป (formed steel housing) สามารถติดตั้งกระบอก สูบกับประตูหรือติดตั้งกระบอกสูบโดยผู้ใช้งานในส่วนที่ต้องการก็ได้โดยไม่ต้องทำการต่อท่ออากาศหรือ ควบคุมใดๆ กับประตูชนิดนี้ 


รูปที่ 57 : ประตูที่ควบคุมการทำงานด้วยอากาศ (air operated air)


1.6.7 ท่อลำเลียงที่มีฐานปล่อยภาระ (Stub spout) แบบมีประตูเลื่อนและแบบไม่มีประตูเลื่อน ถูกต่อเข้ากับรางลำเลียงหรือฝาเปิด ตัวเลื่อน (slide) อาจถูกติดเข้ากับท่อป้อนภาระหรือท่อปล่อยภาระและ อาจทำงานควบคู่ไปกับท่อลำเลียงหรือทำงานที่มุมฉาก ตามที่ต้องการ สามารถใช้ท่อลำเลียงที่มีขนาด มาตรฐาน และวัสดุพิเศษในการสร้างเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการได้ 


รูปที่ 58 : ท่อปล่อยภาระซึ่งไม่มีตัวเลื่อน



รูปที่ 59 : ท่อปล่อยภาระซึ่งมีตัวเลื่อนด้วยมือแบบเรียบ



รูปที่ 60 : ช่องเปิดที่ใช้ปล่อยภาระแบบปกติ


รูปที่ 61 : รางป้อนซึ่งไม่มีตัวเลื่อน


รูปที่ 62 : ช่องเปิดที่ใช้ป้อนภาระแบบปกติ


1.6.8 ประตูระบบเฟืองทด (rack and pinion gates)

1.6.8.1 ตัวเลื่อนแนวโค้ง (curved slide) ประตูปล่อยภาระระบบเฟืองทดที่ ประกอบด้วยตัวเลื่อนแนวโค้งมีรางฟันปลา (cut tooth rack) เชื่อติดกับแผ่นเลื่อนแบบโค้ง ฟันเฟือง (cut tooth pinion) เชื่อมต่อกับเพลาเฟืองขับ (pinion shaft) ประตูทำงานโดยล้อที่ใช้มือหมุนดังแสดงใน ภาพชุดเฟืองโซ่ (chain wheel) และโซ่สามารถนำมาใช้งานได้ถ้าต้องการ ตัวเลื่อนแนวโค้งมีรูปแบบ สอดคล้องกับรูปร่างของรางลำเลียงและกำจัดช่องหรือหลุมทั้งหมดที่อาจดักจับวัสดุภายในท่อลำเลียงซึ่ง วางตัวอยู่ส่วนบนของตัวเลื่อนแบบแผ่นเรียบ ตัวเลื่อนลักษณะนี้ยังสามารถทำงานได้โดยอาศัยพลังงานจาก มอเตอร์ไฟฟ้าหรือกระบอกไฮดรอลิก (hydraulic cylinder) 


รูปที่ 63 : ตัวเลื่อนแนวโค้ง (curved slide)


1.6.8.1 ตัวเลื่อนแนวราบ (Flat slide) ประตูปล่อยภาระระบบเฟืองทดที่ ประกอบด้วยตัวเลื่อนแนวราบฟันปลาเชื่อมติดกับแผ่นเลื่อน มีฟันเฟืองเชื่อมต่อกับเพลาเฟืองขับประตูทำงาน โดยล้อที่ใช้มือหมุนดังแสดงในรูปที่ อย่างไรก็ตาม ชุดเฟืองโซ่และโซ่สามารถนำมาใช้งานได้ตามต้องการ ตัวเลื่อนแนวราบสามารถใช้งานในทิศทางใดทิศทางหนึ่งจากทั้งหมดสี่ทิศทาง ถ้าช่องว่างเพียงพอ ตัวเลื่อน เหล่านี้ยังสามารถทำงานได้โดยอาศัยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าหรือกระบอกไฮดรอลิก 


รูปที่ 64 : ตัวเลื่อนแนวราบ (Flat slide)

เอกสารอ้างอิง

1. ANSI/CEMA 350-2009, CEMA STANDARD No. 350, "SCREW CONVEYORS"